ผู้วิจัย จารุภา ตรีระพงศ์
หน่วยงานที่ทำ ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (สถิติ) สาขาวิชาสถิติ ภาควิชาสถิติ
พ.ศ. 2541
วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาเปรียบเทียบวิธีการประมาณแบบช่วง 3 วิธี สำหรับผลต่างระหว่างค่าสัดส่วนของสองประชากรที่มีการแจกแจงแบบทวินามและเป็นอิสระต่อกัน เกณฑ์ที่ใช้ในการเปรียบเทียบ คือ ความกว้างเฉลี่ยและความน่าจะเป็นครอบคลุมขอความเชื่อมั่น วิธีการประมาณที่ศึกษาคือ วิธีของ Hauck และ Anderson วิธีของ Peskun และวิธีการประมาณอย่างง่ายบนพื้นฐานของการประมาณการแจกแจงของตัวประมาณด้วยการแจกแจงแบบปกติ ความแตกต่างของวิธีการประมาณทั้ง 3 วิธีนี้อยู่ที่ รูปแบของค่าปรับความต่อเนื่องและความคลายเคลื่อนมาตรฐานของตัวประมาณ การวิจัยใช้เทคนิคมอนติคาร์โลในการจำลองแบบ สรุปผลการวิจัยได้ดังนี้
ช่วงความเชื่อมั่นของวิธีการประมาณอย่างง่าย มีความกว้างเฉลี่ยสั้นที่สุด และมีค่าความน่าจะเป็นครอบคลุมต่ำกว่าค่าสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่นที่กำหนด ช่วงความเชื่อมั่นของ Peskun มีความกว้างเฉลี่ยยาวที่สุดโดยมีค่าความน่าจะเป็นครอบคลุ่มสูงกว่าค่าสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่น เมื่อกำหนดความมั่นใจ 90% และ 95% แต่มีค่าเท่ากับสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่นในกรณีของความมั่นใจ 99% ส่วนช่วงความเชื่อมั่นของ Hauck และ Anderson มีความกว้างเฉลี่ยที่กว้างกว่าของวิธีการประมาณอย่างง่ายเล็กน้อย และค่าความน่าจะเป็นครอบคลุมเท่ากับค่าสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่นที่กำหนด
เมื่อพิจารณาทั้งความน่าจะเป็นครอบคลุมและความกว้างเฉลี่ยของช่วงความเชื่อมั่นแล้ว จะได้ว่า วิธีของ Hauck และ Anderson เหมาะสมที่สุดในการใช้ประมาณผลต่างระหว่างค่าสัดส่วนของสองประชากรแบบช่วง
สำหรับอิทธิพลของปัจจัยต่างๆ ที่มีต่อช่วงความเชื่อมั่นนั้น พบว่า ความกว้างของช่วงไม่ขึ้นอยู่กับค่าสัดส่วนที่แท้จริงแต่ละค่า แต่ขึ้นกับผลต่างระหว่างค่าสัดส่วน เมื่อผลต่างระหว่างค่าสัดส่วนมากขึ้นความกว้างของช่วงจะลดลง ขนาดตัวอย่างและความแตกต่างของขนาดตัวอย่างก็มีผลต่อความกว้างของช่วงเช่นกัน ช่วงความเชื่อมั่นจะแคบเมื่อจำนวนตัวอย่างโดยรวมจากสองประชากรมีขนาดใหญ่ ส่วนค่าต่ำสุดของความถี่คาดหวัง เมื่อมีค่ามาก จะทำให้ช่วงความเชื่อมั่นแคบ
สรุปและข้อเสนอแนะ
ผลการวิจัยเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบวิธีการประมาณช่วงความเชื่อมั่น 3 วิธี สำหรับผลต่างระหว่างค่าสัดส่วนของลักษณะที่สนใจในประชาชน 2 กลุ่มที่มีการแจกแบบทวินามและเป็นอิสระต่อกัน โดยพิจารณาจากค่าความน่าจะเป็นครอบคลุมและค่าความกว้างของช่วงความเชื่อมั่นจากแต่ละวิธีการประมาณ สรุปได้ว่า
ช่วงความเชื่อมั่นจากวิธีการประมาณอย่างง่าย มีความกว้างเฉลี่ยของช่วงความเชื่อมั่นสั้นที่สิ้นสุด ซึ่งก็มีผลให้ค่าความน่าจะเป็นครอบคลุมต่ำกว่าค่าสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่นที่กำหนดในขณะที่วิธีการประมาณของ Peskun ให้ช่วงความเชื่อมั่นที่มีความกว้างเฉลี่ยมากที่สุด ดั้งนั้นค่าความน่าจะเป็นครอบคลุมจึงสูงกว่าค่าสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่นกำหนดในกรณีของความมั่นใจ 90 % และ 95% แต่ค่าจะเท่ากับค่าสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่นที่กำหนดในกรณี 99%
ส่วนวิธีการประมาณของ Hauck และ Anderson ให้ช่วงความเชื่อมั่นที่มีความกว้างสั้นกว่าของวิธี Peskun แต่ยาวกว่าของวิธีการประมาณอย่างง่าย ทั้งนี้ช่วงที่ได้จะมีค่าความน่าจะเป็นครอบคลุมเท่ากับค่าสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่นที่กำหนด ดังนั้นวิธีการประมาณของ Hauck และ Anderson จึงเป็นวิธีการประมาณช่วงความเชื่อมั่นที่เหมาะสมกว่าอีก 2 วิธี
นอกจากนี้ เมื่อวิเคราะห์อิทธิพลของปัจจัยต่างๆ นอกเหนือจากวิธีการประมาณที่มีผลต่อค่าความน่าจะเป็นครอบคลุมและค่าความยาวของความเชื่อมั่น จะพบว่า ค่าสัดส่วนที่แท้จริงของแต่ละประชากร จะไม่อิทธิพลต่อความกว้างของช่วงความเชื่อมั่น ในขณะที่ผลต่างระหว่างค่าสัดส่วน, ขนาดตัวอย่าง, ค่าความถี่ที่คาดหวังที่ต่ำที่สุด และ ความแตกต่างขนาดตัวอย่าง จะมีอิทธิพลต่อความกว้างเฉลี่ยของช่วงความน่าเชื่อมั่นอย่างมีนัยสำคัญ
ขนาดของตัวอย่างและความแตกต่างของขนาดตัวอย่าง จะมีอิทธิพลต่อความกว้างของช่วงความเชื่อมั่นเหมือนกัน นั่นคือเมื่อจำนวนตัวอย่างโดยรวมจากสองประชากรมีขนาดเล็กช่วงความเชื่อมั่นจะกว้าง แต่เมื่อจำนวนตัวอย่างโดยรวมจากสองประชากรมีขนาดใหญ่ขึ้น ช่วงความเชื่อมั่นจะแคบลง อย่างไรก็ตามความแตกต่างของขนาดตัวอย่าง ( n1 = 2n2) ให้ค่าความกว้างเฉลี่ยของช่วงความเชื่อมั่นสั้นกว่าความเท่ากันของขนาดตัวอย่าง ( n1 = n2) นั้นย่อมหมายความว่า เมื่อตัวอย่างมีขนาดใหญ่ขึ้น ค่าความกว้างเฉลี่ยของช่วงความเชื่อมั่นจะสั้น และจะสั้นที่สุดเมื่อผลรวมของขนาดตัวอย่างมีค่ามากที่สุดคือ n1 = 200, n2 = 100
ในแต่ละระดับของผลที่ต่างระหว่างค่าสัดส่วน เมื่อสันส่วนของแต่ละประชากรมีค่าเข้าใกล้ 0 หรือ 1 แล้ว ช่วงความเชื่อมั่นที่ได้จะทีค่าความกว้างเฉลี่ยที่สั้นกว่าเมื่อสัดส่วนของแต่ละประชากรมีค่าเข้าใกล้ ½ ทั้งนี้เมื่อผลต่างระหว่างค่าสัดส่วนมีค่าเพิ่มขึ้น ความกว้างของช่วงความเชื่อมั่นจะมีค่าค่อย ๆ ลดลง นอกจากนี้ค่า MCS ก็จะมีอิทธิพลต่อความกว้างเฉลี่ยของช่วงความเชื่อมั่นด้วย นั้นคือค่า MCS ที่มีค่ามากจะทำให้ช่วงความเชื่อมั่นมีความกว้างลดลง จะเห็นได้ว่า ค่า MCS มีอิทธิพลต่อความกว้างของช่วงในทิศทางตรงกันข้ามกับค่าขนาดของ ตัวอย่าง นั้นย่อมหมายความว่า ค่า MCS จะมีอิทธิพลของค่าสัดส่วนของแต่ละประชากรแฝงอยู่ด้วย จึงได้ว่าเมื่อค่าสัดส่วนของแต่ละประชากรที่มีค่าอยู่ใกล้ 0 และ 1 แล้ว MCS จะมีค่าน้อย ช่วงความเชื่อมั่นที่ได้จึงมีค่าความกว้างเฉลี่ยที่สั้น
นอกจากนี้ วิธีการประมาณอย่างง่ายจะสามารถสร้างช่วงความเชื่อมั่นที่เหมาะสมสำหรับผลต่างระหว่างค่าสัดส่วนได้ เมื่อตัวอย่างมีขนาดตั้งแต่ 50 ขึ้นไปสัมหรับสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่นมีค่าเท่ากับ 90% และ 95% ส่วนสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่นเท่ากับ 99% ตัวอย่างควรจะมีขนาดตั้งแต่ 80 ขึ้นไป
ผู้วิจัยมีข้อสังเกตที่จะเป็นข้อเสนอแนะเพื่อเป็นแนวทางในการวิจัยเรื่องประมาณค่าแบบช่วง สำหรับผลต่างระหว่างค่าสัดส่วนของสองประชากรต่อไป คือ จากการวิจัยในครั้งนี้พบว่าทั้งขนาดของตัวอย่างและความแตกต่างของขนาดของตัวอย่าง จะมีอิทธิพลต่อความกว้างเฉลี่ยของช่วงความเชื่อมั่น แต่เนื่องจากอิทธิพลของขนาดตัวอย่างซ้อนอยู่ในอิทธิพลของความแตกต่างของขนาดตัวอย่าง ทำให้ไม่สามรถอิทธิพลของความแตกต่างระหว่างขนาดตัวอย่างออกมาได้ชัดเจน ดังนั้นในการวิจัยครั้งต่อไปจึงควรจัดขนาดของตัวอย่างในการศึกษาให้สามารถศึกษาถึงอิทธิพลของความแตกต่างระหว่างขนาดตัวอย่างให้ชัดเจนยิ่งขึ้น