เอมมี่ โนเตอร์
( EmmyAmalieNoether )
Born: 23 March 1882 in Erlangen, Bavaria, Germany Died: 14 April 1935 in Bryn Mawr, Pennsylvania, USA
EmmyAmalieNoetherเกิดเมื่อวันที่23มีนาคมพ.ศ.2425(รัชสมัยพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)ที่เมืองErlangenในแคว้นBavariaของเยอรมนีเธอมีบิดาเชื้่่อสายยิวชื่อMaxผู้เป็นศาสตราจารย์คณิตศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยErlangenส่วนมารดาชื่อIdaAmaliaก็เป็นยิวที่ครอบครัวมีฐานะมั่งคั่งในเมืองCologneในวัยเด็กNoetherได้รับการเลี้ยงดูเช่นเด็กทั่วๆไปคือได้เข้าเรียนที่โรงเรียนสตรีชั้นสูงโดยเรียนอังกฤษฝรั่งเศสคณิตศาสตร์เปียโนและเต้นรำจนกระทั่งอายุ13ปีเธอก็สำเร็จได้รับประกาศนียบัตรว่ามีความสามารถในการสอนภาษาฝรั่งเศสและอังกฤษได้ดีแต่Noetherไม่ต้องการเป็นครูภาษาเธอต้องการเรียนวิชายากๆเช่นคณิตศาสตร์ในมหาวิทยาลัยแต่ในสมัยนั้นมหาวิทยาลัยเยอรมันไม่ยินยอมให้ผู้หญิงเรียนทั้งๆที่มหาวิทยาลัยในประเทศเพื่อนบ้านเช่นฝรั่งเศสได้เปิดประตูให้สตรีเข้าเรียนตั้งแต่ปี2414อังกฤษในปี2421และอิตาลีในปี2428หรือแม้แต่มหาวิทยาลัยErlangenที่บิดาเธอสอนอยู่ก็ปฏิเสธไม่รับนิสิตหญิงเข้าเรียนโดยอ้างว่าผู้หญิงจะทำให้บรรยากาศวิชาการของมหาวิทยาลัยเสีย ถึงแม้จะเผชิญอุปสรรคและข้อห้ามมากมายแต่EmmyNoetherก็มิได้ย่อท้อเธอได้ขออนุญาตD.Hilbert,H.Minkowski,F.Kleinผู้เป็นศาสตราจารย์คณิตศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยGottengenเข้าไปนั่งฟังคำบรรยายคณิตศาสตร์บางวิชาและเมื่อถึงปี2447ที่มหาวิทยาลัยErlangenยินยอมให้ผู้หญิงเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้เธอก็ได้เข้าเรียนที่นั่นและได้ทำวิทยานิพนธ์คณิตศาสตร์เรื่อง“Oncompletesystemsofinvariantsforternarybiquadratieforms”โดยมีเพื่อนของบิดาเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ถึงแม้จะสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกแล้วแต่เธอก็มิได้ออกไปหางานทำที่อื่นเพราะต้องอยู่ดูแลบิดาที่ล้มป่วยเป็นอัมพาตและทำงานสอนพิเศษเล็กน้อยในยามว่างแต่ใช้เวลาส่วนใหญ่ทำงานวิจัยคณิตศาสตร์ร่วมกับErnstFischerศึกษาวิเคราะห์ปัญหาต่างๆตามแนวคิดของHilbertจนชื่อเสียงของเธอเริ่มปรากฏในอิตาลีเยอรมนีและออสเตรเลียการติดตามศึกษาผลงานตีพิมพ์ของNoetherทำให้HilbertและKleinรู้สึกประทับใจมากจึงได้เชิญเธอให้มาทำงานวิจัยร่วมกันที่มหาวิทยาลัยGottingenและพยายามหาตำแหน่งอาจารย์ให้แต่ก็ถูกบรรดาอาจารย์นักคณิตศาสตร์ชายในมหาวิทยาลัยต่อต้านโดยอ้างว่าเธอเป็นผู้หญิงการอ้างเช่นนี้ได้ทำให้Hilbertเดือดดาลมากจนถึงกับกล่าวว่ามหาวิทยาลัยไม่ควรแบ่งแยกบุคคลโดยใช้เกณฑ์เพศเพราะมหาวิทยาลัยไม่ใช่ห้องน้ำที่ต้องแบ่งแยกเพศของคนที่มาใช้สถานที่ถึงกระนั้นHilbertก็ยังขอร้องให้Noetherเป็นอาจารย์ช่วยสอนของเขาโดยในตารางสอนของHilbertจะมีชื่อของNoetherในฐานะอาจารย์ผู้ช่วยปรากฏอยู่ ในปีพ.ศ.2458Noetherได้พบทฤษฎีNoetherซึ่งเกี่ยวกับหลักการอนุรักษ์ต่างๆเช่นพลังงานโมเมนตัมเชิงเส้นและโมเมนตัมเชิงมุมว่าเกิดจากคุณสมบัติความสมมาตรของระบบและความยิ่งใหญ่ของทฤษฎีนี้คือสามารถนำไปใช้ได้ทั้งในทฤษฎีกลศาสตร์ของนิวตันและในทฤษฎีสัมพันธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์ด้วยความสามารถที่ประเสริฐของNoetherเรื่องนี้ทำให้ไอน์สไตน์ชื่นชมในความฉลาดเฉลียวของเธอมาก นอกจากจะพบทฤษฎีการไม่แปรเปลี่ยน(theoryofinvariant)ในฟิสิกส์แล้วเธอยังมีผลงานที่สำคัญด้านคณิตศาสตร์บริสุทธิ์เช่นได้สร้างทฤษฎีringซึ่งเป็นพื้นฐานหนึ่งในการพัฒนาพีชคณิตยุคใหม่ด้วย ทั้งๆที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จสูงแต่มหาวิทยาลัยในเยอรมนีก็ยังไม่ยอมรับเธอเข้าทำงานเป็นอาจารย์จนกระทั่งเธออายุ37ปีมหาวิทยาลัยGottingenจึงตอบรับเธอเป็นอาจารย์และอีก3ปีต่อมาเธอก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองศาสตราจารย์กิตติมศักดิ์โดยไม่มีภาระหน้าที่สอนใดๆและไม่มีเงินเดือนให้ด้วยถึงกระนั้นNoetherก็ยังรู้สึกดีที่ได้เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ให้นิสิตปริญญาเอกหลายคนเพราะเธอได้มีโอกาสอภิปรายถกเถียงกับนิสิตและหลายครั้งที่การสนทนาทำให้เธอลืมตัวว่าเธอกำลังข้ามถนนจนนิสิตต้องเตือนให้เธอระมัดระวังหรือเวลากระโปรงชั้นในเธอโผล่ขณะเธอกำลังสอนเธอก็จะก้มตัวลงดึงมันออกแล้วโยนทิ้งไปหน้าห้องส่วนปากก็ยังพร่ำสอนสมการต่างๆต่อไปเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ ตามปกตินักคณิตศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายมักผลิตผลงานชิ้นสำคัญขณะอยู่ในวัยหนุ่มสาวแต่EmmyNoetherเป็นคนพิเศษที่ไม่เหมือนใครเพราะเธอตีพิมพ์ผลงานชิ้นยิ่งใหญ่ขณะเธออายุเกือบ40ปีและผลงานที่โดดเด่นของเธอคือการวิจัยปัญหาพีชคณิตชนิดnon-commutativeรวมทั้งเรื่องaxiomdevelopmentofalgebraและidealtheoryซึ่งมีเรื่องNoetherianringปรากฏเป็นครั้งแรกและนี่ก็คือผลงานที่สำคัญที่สุดของเธอและผลงานนี้มีอิทธิพลต่อวิชาพีชคณิตสมัยใหม่มาจนทุกวันนี้ เมื่อผลงานของเธอปรากฏชื่อเสียงของNoetherก็เริ่มเป็นที่รู้จักและเป็นที่ยอมรับในปีพ.ศ.2471เธอได้รับคำเชิญให้ไปบรรยายที่InternationalCongressซึ่งจัดที่เมืองBolognaในอิตาลีเธอได้รับการเชื้อเชิญให้ไปสอนที่มหาวิทยาลัยMoscowในรัสเซียและในปีพ.ศ.2475เธอได้รับเชิญให้เป็นองค์ปาฐกนำในการประชุมInternationalCongressที่เมืองZurichในสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อกองทัพนาซีเรืองอำนาจบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐที่มีเชื้อสายยิวถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัยบรรดาอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยAugustaGeorgiaซึ่งNoetherทำงานอยู่หลายคนถูกห้ามสอนและถูกห้ามทำงานที่มหาวิทยาลัยNoetherจึงต้องลอบสอนโดยการไปเยี่ยมบ้านของศิษย์และสอนหนังสือที่นั่นในขณะเดียวกันเธอได้ครุ่นคิดว่าจะต้องจัดการชีวิตของตนใหม่โดยการอพยพไปทำงานที่รัสเซียเพราะเธอมีเพื่อนชื่อAleksandrovซึ่งศรัทธาความสามารถของเธอมากแต่ในขณะเดียวกันบรรดานักคณิตศาสตร์ชาวอเมริกันก็ได้พยายามเชิญให้เธอเดินทางไปเป็นอาจารย์ที่วิทยาลัยBrynMawrในรัฐPennsylvaniaด้วยโดยได้รับเงินสนับสนุนจากมูลนิธิRockyfellerตามคำรับรองของN.Wiener ภาควิชาคณิตศาสตร์ที่BrynMawrมีอาจารย์ประจำ4คนและนิสิตระดับบัณฑิตศึกษา5คนNoetherต้องรับภาระสอนวิชาพีชคณิตนามธรรมให้แก่นิสิต4คนโดยสอนเป็นภาษาเยอรมันปนอังกฤษเธอเป็นครูที่พูดเสียงดังสายตาสั้นและมีบุคลิกภาพที่เป็นมิตรกับเพื่อนร่วมงานและศิษย์ทุกคนในวันเสาร์เธอชอบเดินเล่นกับศิษย์ไม่ว่าอากาศจะเลวร้ายเพียงไรเธอรู้สึกอบอุ่นมากขณะพำนักที่BrynMawrและใช้สถานที่นั่นเป็นที่ต้อนรับเพื่อนชาวเยอรมันที่อพยพมาจากอเมริกาในด้านการใช้ชีวิตส่วนตัวเธอดูไม่ค่อยเป็นสตรีนักเช่นไม่คิดมากเรื่องการแต่งตัวหรือเรื่องอาหารนิยมไว้ผมสั้นเพราะเวลาเธอไว้ผมยาวขณะเข้าห้องสอนเธอต้องรวบผมเพราะเวลาสมการบนกระดานดำตีกันวุ่นวายอารมณ์ตื่นเต้นของเธอทำให้มวยผมตกจนดูรุงรังไม่เรียบร้อย หลังจากที่ทำงานในอเมริกาได้นาน1ปีNoetherได้กลับไปเยี่ยมบ้านเกิดที่เยอรมนีเธอรู้สึกตกใจมากที่ได้เห็นสภาพความเสื่อมโทรมของบ้านเมืองหลังจากที่เธอกลับมาอเมริกาได้ไม่นานเธอเข้ารับการผ่าตัดเนื้องอกในมดลูกและเสียชีวิตในวันที่14เมษายน2478ขณะอายุ53ปี ก่อนที่เธอจะจากโลกไปเธอได้กล่าวกับเพื่อนว่าเธอชอบชีวิตของเธอที่BrynMawrยิ่งกว่าชีวิตของเธอในเยอรมนีมาก ณวันนี้โลกมีนักคณิตศาสตร์สตรีหลายคนที่กำลังดำเนินชีวิตตามทางที่Noetherได้บุกเบิกไว้และกุลสตรีอีกหลายคนในอนาคตที่เห็นNoetherคือสตรีนักคณิตศาสตร์ในอุดมคติ