ผู้วิจัย นางสาวนันทวรรณ อรรถบุตร
พ.ศ. 2534
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อศึกษาระดับนัยที่สำคัญที่เกิดขึ้นจริง ( Observed significance livel ) และอำนาจการทดสอบ ( power of the test ) ของตัวสถิติ จุง – บ๊อกซ์ ในการทดสอบรูปแบบ autoregressive – moving average ต่างๆ
2. เพื่อศึกษาเกี่ยวกับค่า ที่เหมาะสมในการใช้ตัวสถิติ จุง – บ๊อกซ์ ทดสอบรูปแบบ autoregressive – moving average ต่างๆ เมื่อมีจำนวนข้อมูลขนาดต่าง ๆ กัน
สรุปและข้อเสนอแนะ
การศึกษาการทำงานของตัวสถิติ จุง – บ๊อกซ์ ในที่นี้ได้เน้นในเรื่อง ระดับนัยสำคัญที่เกิดขึ้นจริง อำนาจการทดสอบ และค่า m ของตัวสถิติ จุง – บ๊อกซ์ ที่ควรใช้ในการทดสอบความเหมาะสมของรูปแบบ ARMA ต่างๆ การประมาณค่าพารามิเตอร์ในรูปแบบเหล่านี้ใช้วิธี Least squares ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้
ระดับนัยสำคัญที่เกิดขึ้นจริง
1. ระดับนัยสำคัญที่เกิดขึ้นจริงในการทดสอบความเหมาะสมของรูปแบบ ด้วยตัวสถิติ
จุง – บ๊อกซ์ ส่วนใหญ่สูงกว่าระดับนัยสำคัญที่กำหนดอย่างมีนัยสำคัญ แต่ก็มีบางกรณีที่ต่ำกว่าระดับนัยสำคัญที่กำหนดอย่างมีนัยสำคัญ
2.ระดับนัยสำคัญที่เกิดขึ้นจริงมีค่าไม่แตกต่างกันนัก ไม่ว่าอนุกรมเวลาจะมีรูปแบบใดและมีค่าพารามิเตอร์เป็นเท่าใด แต่เมื่อขนาดตัวอย่างต่างกันระดับนัยสำคัญที่เกิดขึ้นจริงมีค่าแตกต่างกันในบางรูปแบบ
3. เมื่อ m มีค่ามากกว่า 6 ระดับนัยสำคัญที่เกิดขึ้นจริงไม่แตกต่างกัน และมีค่าใกล้เคียงกับระดับนัยสำคัญที่กำหนดมากกว่าเมื่อ m เท่ากับ 6 ในทุกกรณีที่ศึกษา ยกเว้นกรณีที่ข้อมูลอนุกรมเวลามีรูปแบบ MA ( 1 ) ซึ่งระดับนัยสำคัญที่เกิดขึ้นจริงไม่แตกต่างกัน สำหรับทุกค่า m
อำนาจการทดสอบ
1. อำนาจการทดสอบของตัวสถิติ จุง – บ๊อกซ์ จะเพิ่มขึ้น เมื่อระดับนัยสำคัญสูงขึ้นโดยที่อำนาจการทดสอบจะเพิ่มขึ้นมากในบางกรณี
2. โดยทั่วอำนาจการทดสอบของตัวสถิติ จุง – บ๊อกซ์ จะสูงขึ้น เมื่อขนาดตัวอย่างเพิ่มขึ้น ยกเว้นกรณีที่รูปแบบที่แท้จริงของอนุกรมเวลาเป็นเซตย่อยของรูปแบบที่กำหนด ซึ่งการเพิ่มขนาดตัวอย่างอาจไม่ช่วยให้อำนาจการทดสอบสูงขึ้น ส่วนค่าพารามิเตอร์มีผลต่ออำนาจการทดสอบมาก
3. เมื่อ m เท่ากับ 6 อำนาจการทดสอบจะสูง และเมื่อ m มีค่าสูงขึ้น อำนาจการทดสอบมีแนวโน้มลดต่ำลง
ค่า m ที่เหมาะสมในการทดสอบ
ในการทดสอบความเหมาะสมของรูปแบบ หากรูปแบบที่แท้จริงเป็น AR( 1 ),
AR( 2 ), MA ( 1 ) และ MA( 2 ) พบว่า ค่า m ที่เหมาะสมของตัวสถิติ จุง – บ๊อกซ์ ไม่ขึ้นกับรูปแบบที่แท้จริงและรูปแบบที่กำหนด ถึงแม้ระดับนัยที่สำคัญที่เกิดขึ้นจริงและอำนาจการทดสอบของตัวสถิติ จุง – บ๊อกซ์ จะแตกต่างไปในแต่ละกรณีของรูปแบบที่จริงและรูปแบบที่กำหนด แต่ผลที่ได้ตรงกันเกือบทุกกรณี คือ เมื่อ m มีค่าสูงขึ้น ระดับนัยสำคัญที่เกิดขึ้นจริงไม่แตกต่างกัน และมีค่าใกล้เคียงกับระดับนัยสำคัญที่กำหนด ในขณะที่อำนาจการทดสอบมีแนวโน้มลดต่ำลง ดังนั้นการพิจารณาเลือกใช้ค่า m จึงอยู่ที่วัตถุประสงค์ในการทดสอบความเหมาะสมของรูปแบบ กล่าวคือ หากต้องการควบคุมระดับนัยสำคัญที่สำคัญที่เกิดขึ้นจริงให้ใกล้เคียงกับระดับนัยสำคัญที่กำหนด ควรใช้ m ที่มีค่าสูง แหละหากต้องการให้ตัวสถิติ จุง – บ๊อกซ์ มีอำนาจการทอสอบสูง ควรใช้ m ที่มีค่าต่ำ แต่ถ้าต้องการควบคุมระดับนัยสำคัญที่เกิดขึ้นจริงไม่ให้สูงเกินไป และขณะเดียวกันต้องการให้ทีอำนาจการทดสอบไม่ต่ำนัก ควรใช้ m ที่มีค่ากลางๆ